รากฟันเทียม อุบล โดย หมอเอ สไมล์
รากฟันเทียม (Dental Implant) – ฟื้นฟูฟันให้กลับมาใช้งานได้เต็มที่
รากฟันเทียม เป็นทางเลือกที่ช่วยทดแทนฟันที่สูญเสียไป โดยฝังรากฟันเทียมลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่เสมือนรากฟันธรรมชาติ และใช้เป็นฐานรองรับฟันปลอม ไม่ว่าจะเป็นแบบถอดได้หรือแบบติดแน่น การรักษานี้ช่วยป้องกันปัญหาฟันข้างเคียงล้มเอียง หรือการเคลื่อนตัวของฟันที่เหลืออยู่ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทำความรู้จักรากฟันเทียม
รากฟันเทียมคืออะไร?
รากฟันเทียมเป็นการทดแทนฟันที่สูญเสียไปโดยใช้วัสดุไทเทเนียมฝังลงในกระดูกขากรรไกร เพื่อทำหน้าที่เป็นรากฟันเทียม เมื่อกระดูกยึดติดกับรากเทียมแล้ว ทันตแพทย์จะติดเดือยรองรับครอบฟันและครอบฟัน เพื่อให้ฟันเทียมมีความมั่นคง แข็งแรง และใช้งานได้เหมือนฟันธรรมชาติ
องค์ประกอบของรากฟันเทียม
รากฟันเทียม (Fixture)
เดือยรองรับครอบฟัน (Abutment)
ครอบฟัน (Crown)
ขั้นตอนการทำรากฟันเทียม
ตรวจประเมินสุขภาพช่องปาก
พิมพ์ฟันหรือสแกนฟัน และทำ CT Scan เพื่อวางแผนการรักษา
เตรียมกระดูกขากรรไกร (ถ้าจำเป็น)
หากกระดูกไม่เพียงพอ อาจต้องมีการปลูกกระดูกหรือยกไซนัสก่อนการฝังรากเทียม
ผ่าตัดฝังรากฟันเทียม
เป็นการผ่าตัดเล็ก โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ และรอให้รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกประมาณ 2-3 เดือน
ติดตั้งครอบฟัน
เมื่อรากฟันเทียมยึดติดดีแล้ว ทันตแพทย์จะติดเดือยรองรับครอบฟันและติดครอบฟันที่มีลักษณะเหมือนฟันจริง
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้รากฟันเทียมล้มเหลว
แม้รากฟันเทียม จะมีอัตราความสำเร็จสูง แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่อาจเพิ่มโอกาสให้การรักษาล้มเหลวได้ เช่น
- สุขภาพช่องปากที่ไม่ดี ซึ่งนำไปสู่การสะสมของคราบจุลินทรีย์และการอักเสบติดเชื้อรอบ รากฟันเทียม (peri-implantitis),
- การสูบบุหรี่จัดที่ส่งผลเสียต่อการไหลเวียนเลือด ทำให้แผลหายช้าและลดความสามารถในการยึดติดของกระดูกกับ รากฟันเทียม
- โรคกระดูกพรุนชนิดรุนแรงที่อาจมีผลต่อคุณภาพและความหนาแน่นของกระดูก, รวมถึงโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ซึ่งทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น
ปัจจัยเหล่านี้ควรได้รับการประเมินและควบคุมก่อนเริ่มการรักษา รากฟันเทียม
ผลกระทบหากไม่รักษาฟันที่สูญเสีย
การปล่อยช่องว่างจากการสูญเสียฟันไว้โดยไม่ได้รับการทดแทน อาจนำมาซึ่งผลกระทบต่อเนื่องหลายประการ นอกจากประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารที่ลดลง ทำให้ทานอาหารได้ลำบากแล้ว ฟันซี่ข้างเคียงยังมีแนวโน้มที่จะล้มเอียงหรือเคลื่อนตัวเข้าหาช่องว่างนั้น ส่งผลให้การสบฟันผิดปกติ เกิดเศษอาหารติดได้ง่ายขึ้น และทำความสะอาดได้ยาก เพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุและโรคเหงือกของฟันซี่อื่น ๆ ที่สำคัญคือ กระดูกขากรรไกรบริเวณใต้ช่องว่างนั้นจะค่อยๆ ละลายตัวไปเมื่อขาดแรงกระตุ้นจากรากฟัน ซึ่งอาจทำให้รูปหน้าดูเปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวได้
ข้อดีของรากฟันเทียม
- มีความมั่นคงแข็งแรง และใช้งานได้ใกล้เคียงฟันธรรมชาติ: เนื่องจากตัว รากฟันเทียม สามารถยึดติดกับกระดูกขากรรไกรได้โดยตรง (Osseointegration) ทำให้ฟันที่ทดแทนมีความมั่นคงสูง สามารถบดเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ขยับหรือหลุดหลวมเหมือนฟันปลอมแบบถอดได้
- ไม่ต้องกรอฟันข้างเคียงเหมือนการทำสะพานฟัน: การทำ รากฟันเทียม เป็นการทดแทนเฉพาะซี่ที่หายไป จึงช่วยรักษาฟันซี่ข้างเคียงที่ดีไว้ได้ ไม่จำเป็นต้องกรอเนื้อฟันเพื่อใช้เป็นหลักยึดเหมือนการทำสะพานฟันแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นการอนุรักษ์เนื้อฟันธรรมชาติได้ดีกว่า
- ช่วยรักษาสภาพกระดูกขากรรไกร และป้องกันกระดูกละลาย: ตัว รากฟันเทียม ที่ฝังอยู่ในกระดูกทำหน้าที่คล้ายรากฟันจริง ช่วยกระตุ้นและถ่ายทอดแรงบดเคี้ยวลงสู่กระดูก จึงช่วยชะลอและป้องกันการละลายตัวของกระดูกขากรรไกรบริเวณที่ฟันหายไป ซึ่งช่วยรักษารูปโครงสร้างใบหน้าไว้ได้ในระยะยาว
FAQ คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับรากฟันเทียม
ทำรากฟันเทียมเจ็บไหม ?
รากฟันเทียมเจ็บหรือไม่?
หลายคนกังวลเกี่ยวกับความเจ็บปวดจากการฝังรากฟันเทียม แต่จริง ๆ แล้ว ขั้นตอนนี้ทำภายใต้ยาชา จึงไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ และหลังจากยาชาหมดฤทธิ์ อาการเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งมักจะน้อยกว่าการถอนฟัน และสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์สั่ง
นอกเหนือจากอาการปวดเล็กน้อยแล้ว หลังการฝังรากฟันเทียมอาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเกิดขึ้นได้บ้างในบริเวณแก้มหรือใต้คาง ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามปกติของร่างกาย อาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปเองภายใน 2-3 วัน การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น การรับประทานยาตามที่สั่ง การประคบเย็นในช่วงแรก และการดูแลความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธี จะช่วยบรรเทาอาการไม่สบายต่างๆ และส่งเสริมให้แผลหายเร็วขึ้นได้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปการทำรากฟันเทียมส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดีและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติในเวลาไม่นาน
การดูแลช่องปากหลังทำรากฟันเทียม
การดูแลช่องปากหลังทำรากฟันเทียม
เพื่อให้แผลหายเร็วและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้:
✅ 2-3 วันแรก หลีกเลี่ยงการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันโดยตรงบริเวณแผลผ่าตัด อาจใช้แปรงสีฟันขนนุ่มพิเศษแปรงบริเวณอื่นๆ ในช่องปากได้ตามปกติ และแนะนำให้บ้วนปากเบา ๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ (เกลือ 1/2 - 1 ช้อนชา ต่อน้ำอุ่น 1 แก้ว) หลังรับประทานอาหารและก่อนนอน เพื่อช่วยทำความสะอาดและลดเชื้อแบคทีเรีย
✅ หลังจากนั้น (ประมาณวันที่ 3-4 เป็นต้นไป หรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์): สามารถกลับมาแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันบริเวณรอบๆ รากฟันเทียมได้ตามปกติ แต่ต้องทำอย่างนุ่มนวลและระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนแผล หรือทำให้ไหมหลุดรุ่ย อาจเลือกใช้แปรงสีฟันที่ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ผ่านการผ่าตัดในช่องปากโดยเฉพาะ
ควรรับประทานอาหารประเภทใดหลังการฝังรากฟันเทียม?
ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังการฝังรากฟันเทียม หรือจนกว่าแผลจะหายดี ควรเลือกรับประทาน อาหารอ่อน ๆ ที่ไม่ต้องออกแรงเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนบริเวณแผลผ่าตัด ตัวอย่างเช่น:
🍲 ข้าวต้ม, โจ๊ก, ซุป, แกงจืด, มันบด, พาสต้าเส้นเล็กๆ, เกี๊ยวน้ำ, ไข่ตุ๋น, ไข่คน, เต้าหู้, ปลานึ่งเนื้อนิ่ม
🥛 นม, โยเกิร์ต, สมูทตี้ (ที่ไม่เย็นจัดและไม่ใช้หลอดดูด), ไอศกรีม (ที่ไม่เย็นจัด)
🍌 ผลไม้เนื้อนุ่ม เช่น กล้วยสุก, มะละกอสุก, อะโวคาโด
🥦 ผักปรุงสุกจนนิ่ม เช่น ฟักทองนึ่ง, แครอทต้ม
❌ ควรหลีกเลี่ยง: อาหารที่แข็ง, เหนียว, กรอบ (เช่น ถั่ว, ขนมปังแข็ง, เนื้อสัตว์ที่เหนียว), อาหารรสจัด (เผ็ดจัด, เปรี้ยวจัด), อาหารที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด, เมล็ดธัญพืชเล็กๆ ที่อาจเข้าไปติดในแผลได้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจทำให้แผลระคายเคือง เกิดการอักเสบ หรือกระทบต่อกระบวนการหายของแผลได้
นอกจากการเลือกประเภทอาหารแล้ว การได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน โดยเฉพาะโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ ก็มีส่วนสำคัญในการช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและทำให้แผลผ่าตัดฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ สิ่งสำคัญอีกประการคือพยายามหลีกเลี่ยงการใช้งานฟันบริเวณที่ฝังรากเทียมในการบดเคี้ยวโดยตรงในช่วงแรก และเมื่อแผลเริ่มดีขึ้น หรือตามระยะเวลาที่ทันตแพทย์แนะนำ จึงค่อยๆ เพิ่มความหลากหลายและเนื้อสัมผัสของอาหารกลับไปสู่ภาวะปกติครับ
รากฟันเทียมมีผลข้างเคียงหรือไม่?
รากฟันเทียมมีผลข้างเคียงหรือไม่?
แม้ว่าการทำรากฟันเทียมจะเป็นหัตถการทางทันตกรรมที่มีอัตราความสำเร็จสูงและมีความปลอดภัยเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง แต่ก็เหมือนกับการผ่าตัดอื่นๆ ที่ยังคงมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้บ้าง แม้จะพบได้ไม่บ่อยก็ตาม ตัวอย่างเช่น:
⚠️ การติดเชื้อ: อาจเกิดขึ้นบริเวณแผลผ่าตัด หากการดูแลความสะอาดไม่ดีพอ หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
⚠️ กระดูกไม่ยึดติดกับรากฟันเทียม (Osseointegration Failure): อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น คุณภาพหรือปริมาณกระดูกไม่เพียงพอ, การติดเชื้อ, หรือโรคประจำตัวบางชนิดของผู้ป่วย
⚠️ การบาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียง: อาจเกิดขึ้นได้น้อยมากกับเส้นประสาท, โพรงไซนัส (ในกรณีฟันบน), หรือฟันซี่ข้างเคียง หากการวางแผนหรือตำแหน่งการฝังไม่เหมาะสม
⚠️ ปัญหาเหงือกรอบรากเทียม (Peri-implantitis): เป็นการอักเสบของเหงือกและกระดูกรอบรากฟันเทียม ซึ่งมักเกิดจากการดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดีในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถป้องกันและลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษากับทันตแพทย์ผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ด้านรากฟันเทียมโดยตรง มีการตรวจประเมินสภาพช่องปากและสุขภาพโดยรวมอย่างละเอียด มีการวางแผนการรักษาที่รอบคอบโดยใช้เทคโนโลยีช่วยในการวินิจฉัยที่เหมาะสม (เช่น ภาพถ่ายรังสี 3 มิติ) รวมถึงการให้ความสำคัญสูงสุดกับความสะอาดปลอดเชื้อในระหว่างขั้นตอนการผ่าตัด นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วยเอง เช่น การสูบบุหรี่, โรคประจำตัว (เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้), และการดูแลสุขอนามัยช่องปากทั้งก่อนและหลังการรักษา ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในระยะยาวและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน
รากฟันเทียมอยู่ได้นานแค่ไหน?
รากฟันเทียมได้รับการออกแบบมาให้มีความคงทน แข็งแรง และสามารถใช้งานทดแทนฟันธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากได้รับการฝังโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเทคนิคที่เหมาะสม และที่สำคัญคือ การได้รับการดูแลอย่างถูกต้องสม่ำเสมอ รากฟันเทียมก็สามารถอยู่กับเราได้นานหลายสิบปี หรือในบางรายอาจใช้งานได้ตลอดชีวิตเลยทีเดียว
การดูแลที่สำคัญที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยช่องปากที่ดีเยี่ยม ด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง การใช้ไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันเป็นประจำทุกวัน เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหารรอบๆ รากฟันเทียม รวมถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟันกับทันตแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ (โดยทั่วไปทุก 6 เดือน)
อายุการใช้งานของรากฟันเทียมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย (โรคประจำตัวบางชนิด เช่น เบาหวานที่ควบคุมได้ไม่ดี อาจส่งผลกระทบ)
- พฤติกรรมบางอย่าง (เช่น การสูบบุหรี่จัด, การนอนกัดฟันอย่างรุนแรงโดยไม่ใส่เฝือกสบฟัน)
- ตำแหน่งที่ฝังรากฟันเทียม
การตรวจสุขภาพช่องปากตามกำหนดมีความสำคัญอย่างมาก เพราะทันตแพทย์จะสามารถตรวจเช็คสภาพเหงือกและกระดูกรอบรากเทียม ทำความสะอาดในส่วนที่เข้าถึงยาก และตรวจหาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เช่น การอักเสบของเหงือกรอบรากเทียม (Peri-implant mucositis/Peri-implantitis) หรือการคลายตัวของสกรูยึดครอบฟัน ซึ่งหากตรวจพบและแก้ไขได้เร็ว ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานที่สุดได้ครับ นอกจากนี้ ควรทำความเข้าใจว่าแม้ตัวรากฟันเทียม (Fixture) ที่ฝังในกระดูกจะคงทนมาก แต่ส่วนครอบฟัน (Crown) ที่อยู่ด้านบนอาจมีการสึกหรอ บิ่น แตก หรือต้องเปลี่ยนใหม่ได้ตามกาลเวลาและการใช้งาน ซึ่งคล้ายคลึงกับครอบฟันบนฟันธรรมชาตินั่นเอง
ราคารากฟันเทียมที่ A-Smile Dental Clinic
ทันตกรรมรากเทียม
รากเทียม ระบบ เกาหลี
39,000
รากเทียม ระบบ ยุโรป
45,000-60,000
ตรวจวางแผน
2,000
เอกเรย์ 3 มิติ
4,000
ค่าแนวนำทาง
2,000
ค่าแนวนำทาง 3 มิติ
4,000
การปลูกกระดูก
10,000 - 20,000
เสริมเหงือก (ต่อตำแหน่ง)
4,000 – 6,000
ตัวชั่วคราว
4,000
Abutment พิเศษ
4,000
ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ตรวจสอบอัตราค่าบริการได้ที่
สำหรับคำปรึกษาหรือการนัดหมาย
หากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำรากฟันเทียม
ทีมแพทย์ที่ A-Smile Dental Clinic ยินดีให้คำแนะนำที่เหมาะสมและช่วยดูแลคุณตลอดกระบวนการรักษา